ลดหย่อนภาษี วิธีไหนดีน่ะที่จะดีสุด
เงินบริจาค ถ้าวัดด้วยผลตอบแทนเป็นตัวเงินที่จะกลับมาหาคุณในอนาคตแล้ว วิธีนี้ถือว่าแย่สุด เพราะเงินบริจาคคือเงินที่คุณเสียไปเลย ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรกลับมานอกจาก “บุญ” และค่าลดหย่อนภาษีอีกเล็กน้อย เช่น ถ้าฐานภาษีของคุณอยู่ที่ 10% การบริจาคเงิน 10,000 บาท จะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้ 1,000 บาท เสมือนว่าคุณทำบุญด้วยเงิน 9,000 บาท และรัฐช่วยโปะให้อีก 1,000 บาท ในกรณีที่คุณบริจาคเงินให้สถานศึกษา คุณจะมีสิทธิ์คิดลดหย่อนได้สองเท่า เช่น ฐานภาษี 10% บริจาคให้โรงเรียน 10,000 บาท จะช่วยให้ประหยัดภาษีได้ 2,000 บาท การนำยอดเงินบริจาคมาคิดลดหย่อนสามารถทำได้ไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิ เช่น เงินได้สุทธิ 500,000 บาท จะนำยอดเงินบริจาคมาคิดได้ไม่เกิน 50,000 บาท (ถ้าเป็นสถานศึกษาก็คือ 25,000 บาท เพราะเมื่อคิดสองเท่าก็คือ 50,000 บาท) การบริจาคเงินเพื่อให้ได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี จะต้องบริจาคตามรายชื่อที่สรรพากรกำหนด และต้องมีใบเสร็จหรือใบอนุโมทนาเป็นหลักฐานด้วย ดูรายชื่อสถานศึกษา มูลนิธิ สมาคม สถานสาธารณกุศล สถานสงเคราะห์ สถานพักฟื้นบำบัดและฟื้นฟูเด็ก คนชรา คนพิการ ถึงแม้การบริจาคจะไม่มีผลตอบแทนเป็นตัวเงินกลับมาในอนาคต แต่ผมอยากให้คุณคิดว่าบริจาคเพราะอยากช่วยให้สังคมดีขึ้นโดยมีการลหย่อนภาษีเป็นของแถมเล็กๆ น้อยๆ ดีกว่าคิดว่าคุณจะบริจาคเพื่อให้ได้ลดหย่อนภาษี นอกจากนี้ การบริจาคคือการที่คุณ “เลือกเอง” ว่าจะให้เงินภาษีของคุณไปช่วยสังคมในด้านไหน นอกนั้นแล้วรัฐและนักการเมืองจะเป็นผู้เลือก ทั้งประกันแบบออมทรัพย์และประกันแบบบำนาญ เราสามารถนำเบี้ยที่จ่ายในแต่ละปีมาลดหย่อนภาษีได้ครับ โดยมีเพดานสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท แปลว่าถ้าคุณมีฐานภาษี 10% จ่ายเบี้ยประกันปีละ 100,000 บาท คุณสามารถลดหย่อนภาษีได้ถึง 10,000 บาทเลย นอกจากนี้ ประกันชีวิตยังมีเงินจ่ายคืนทุก 2 ปี หรือ 3 ปี หรือ 5 ปี และจ่ายคืนให้ก้อนใหญ่เมื่อครบสัญญาด้วย ซึ่งเมื่อคำนวณดูแล้ว ผลตอบแทนมักจะเป็นบวก (ได้คืนมามากกว่าที่จ่ายออกไป) ดูวิธีคำนวณได้จากบทความเรื่อง “ประกันออมทรัพย์ผลตอบแทนมากกว่า 100% มีจริงหรือ” การซื้อประกันชีวิตที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ จะต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 10 ปี ควรเป็นกรมธรรม์ที่ไม่พ่วงประกันสุขภาพหรือประกันอุบัติเหตุด้วย เพราะค่าเบี้ยของประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ชื่อเรียกประเภทกรมธรรม์มักเป็นตัวเลขสองชุด เช่น 15/7 ตัวเลขน้อยกว่าหมายถึงจำนวนปีที่ต้องจ่ายเบี้ย ตัวเลขมากกว่าหมายถึงจำนวนปีของอายุกรมธรรม์ 15/7 จึงหมายถึงจ่ายเบี้ยติดต่อกัน 7 ปี กรมธรรม์มีอายุคุ้มครอง 15 ปี (ถ้าตายใน 15 ปี ทายาทจะได้รับเงินชดเชย) ควรเลือกกรมธรรม์ที่ตัวเลขสองชุดใกล้เคียงกัน เช่น 15/15 คือจ่ายเบี้ยเท่าระยะเวลาประกัน เพราะถ้าเลือกแบบตัวเลขห่างกัน เช่น 20/5 คือจ่ายเบี้ยแค่ 5 ปี แต่ประกันนานถึง 20 ปี แบบนี้ค่าเบี้ยที่จ่ายไปจะเป็นค่าความคุ้มครองเยอะ ทำให้ผลตอบแทนที่เป็นเงินจ่ายคืนกลับมาน้อยลง และไม่ควรเลือกที่ตัวเลขเยอะมาก เช่น 99/20 เพราะเป็นประกันตลอดชีพ เรามักไม่ได้เงินคืนกลับมาใช้เอง แต่ทายาทเราได้แทน การจ่ายค่าเบี้ยควรเลือกจ่ายแบบรายปี เพราะการจ่ายรายปีจะได้รับส่วนลดประมาณ 5% เมื่อเทียบกับการจ่ายแบบรายเดือน แต่ก็ต้องมีวินัยในการเก็บเงินด้วย อาจจะใช้วิธีหักจากเงินเดือนทุกเดือนแล้วฝากเข้าบัญชีธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง เช่น ค่าเบี้ยรายปี 90,000 บาท (ถ้าไม่ออมเงินให้ดี อาจทำให้กระอักได้เมื่อถึงเวลาจ่ายค่าเบี้ย) หรือเฉลี่ย 7,500 บาทต่อเดือน พอได้เงินเดือนมาปุ๊บ ก็หัก 7,500 บาทเข้าบัญชีธนาคารเลย แบบนี้ทำให้ได้ดอกเบี้ยเป็นของแถมด้วย LTF กองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF เป็นเครื่องมือที่รัฐใช้สร้างเสถียรภาพให้กับตลาดทุน โดยการระดมเงินจากประชาชนเพื่อนำไปซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ การออกมาตรการจูงใจโดยให้ผู้ซื้อ LTF สามารถลดหย่อนภาษีได้ โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 ปี จึงช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ในตลาดทุน ไม่ย้ายไปที่อื่นได้ง่ายๆ การซื้อ LTF เพื่อใช้ลดหย่อนภาษี เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ โดยสามารถซื้อได้ไม่เกิน 15% ของรายได้ทั้งปีก่อนหักค่าลดหย่อน เช่น ถ้าเงินเดือนทั้งปีและโบนัสของคุณคือ 500,000 บาท คุณจะซื้อ LTF ได้ไม่เกิน 75,000 บาท ถ้าฐานภาษีของคุณคือ 10% คุณจะลดหย่อนภาษีได้ถึง 7,500 บาท การซื้อ LTF มีความเสี่ยงสูงกว่าการซื้อประกันออมทรัพย์ เพราะประกันออมทรัพย์จ่ายเงินคืนให้คุณครบทุกบาททุกสตางค์ และมีกำไรให้นิดหน่อย แต่ LTF นั้นไม่แน่เสมอไป ถ้าคุณซื้อ LTF ในจังหวะที่หุ้นขึ้นมากๆ พอถือไว้ 5 ปีตามเงื่อนไขของการลดหย่อนภาษี ระหว่างนั้นหุ้นเกิดตกอย่างหนักและตลาดอยู่ในสภาวะซึมยาว มูลค่าหน่วยลงทุนของคุณก็จะลดลง ถ้าขายก็ขาดทุน บางคนถ้าไม่ร้อนเงินก็อาจจำใจถือต่อเพื่อรอให้สภาพตลาดฟื้นตัวขึ้นมาแล้วค่อยขาย LTF มีให้เลือกซื้อค่อนข้างเยอะ คุณอาจพิจารณาจากผลงานในอดีตของแต่ละตัว แต่ต้องย้ำว่าผลงานในอดีตไม่ได้บ่งบอกถึงผลงานในอนาคต และที่สำคัญคือต้องดูรายละเอียดของแต่ละตัวว่ามีการลงทุนในหุ้นประเภทไหน และมีการจ่ายเงินปันผลหรือไม่ LTF บางตัวมีผลงานในอดีตสวยงามมาก แต่นั่นอาจเป็นเพราะ LTF ตัวนั้นไม่มีการจ่ายเงินปันผล แต่นำเงินปันผลกลับเข้าไปลงทุนเพิ่ม ซึ่งพอดีว่าตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในขาขึ้น ผลงานที่ออกมาเลยดูดี แต่ถ้าตลาดอยู่ในขาลง ผู้ลงทุน LTF ที่ไม่มีการจ่ายปันผลก็อาจจะเสียหายหนัก ดังนั้น ถ้าคุณคิดจะซื้อ LTF ให้ลองถามตัวเองดูว่า คุณคิดว่าอีก 5 ปีข้างหน้า หุ้นจะขึ้นไปมากกว่านี้หรือเปล่า ถ้าคิดว่าขึ้น ก็อาจลองเสี่ยงด้วยการซื้อ LTF ที่ไม่จ่ายปันผลเลยก็ได้ แต่ถ้าไม่กล้าเสี่ยง ก็ซื้อตัวที่จ่ายปันผลไว้ก่อนดีกว่า เพราะเราไม่รู้ว่าดัชนีหุ้นในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยขอเก็บปันผลไว้บ้างก็ยังดี นอกจากนี้ การซื้อ LTF จากสถาบันการเงินที่มี LTF ให้เลือกได้หลายกองทุนก็จะดี เพราะระหว่างที่ยังไม่ครบ 5 ปี คุณสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้ง่าย ช่วงไหนหุ้นตกหนักก็อาจซื้อกองที่ไม่จ่ายปันผล (เพราะคาดว่าตกไม่นานก็จะขึ้น) พอหุ้นขึ้นก็ค่อยเปลี่ยนไปซื้อกองที่จ่ายปันผลแทน (เพื่อลดความเสี่ยง) RMF กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพหรือ RMF เป็นการระดมเงินจากประชาชนเพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ คล้ายกับ LTF แต่ต่างกันตรงที่ RMF มักจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น เช่น พันธบัตร ตราสารหนี้ ทองคำ เช่นเดียวกับ LTF การซื้อ RMF เพื่อให้ได้ลดหย่อนภาษี จะต้องซื้อไม่เกิน 15% ของรายได้ทั้งปีก่อนหักค่าลดหย่อน แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือเมื่อคุณเริ่มซื้อ RMF แล้ว คุณจะต้องซื้อติดต่อกันทุกปีจนกว่าจะมีอายุครบ 55 ปี ถ้าเว้นการซื้อติดต่อกันสองปี คุณจะต้องจ่ายคืนภาษีที่เคยได้รับลดหย่อนไป 5 ปีย้อนหลัง ซึ่งตอนนั้นจะวุ่นวายมาก เพราะถ้าคุณจ่ายคืนช้า คุณจะถูกปรับเงินเพิ่มด้วย ปีไหนที่คุณไม่อยากซื้อ RMF เยอะมาก คุณจะต้องซื้ออย่างน้อย 3% ของเงินได้ทุกประเภท หรือ 5,000 บาท อยู่ที่ว่าอันไหนต่ำกว่า ถึงจะเป็นจำนวนเงินที่ไม่เยอะ แต่ก็เป็นภาระสำหรับเราไปจนแก่เหมือนกัน สรุป ทั้ง 4 แบบมีความแตกต่างกันไป ซึ่งสามารถเลือกนำไปหักลดหย่อนกันค่ะ