รับทำบัญชี.COM | สำคัญตราสารหนี้มีผู้ถือเป็นเจ้าหนี้ผู้ออกเป็นลูกหนี้?
ตราสารหนี้
ตราสารหนี้ พันธบัตร หรือ หุ้นกู้ มีประโยชน์เปรียบเทียบกับการฝากเงิน
เพื่อให้ท่านเห็นภาพชัดเจนขึ้น เราลองมาดูว่าการลงทุนในตราสารหนี้ ไม่ว่าจะเป็น พันธบัตร หรือ หุ้นกู้ มีประโยชน์เปรียบเทียบกับการฝากเงิน หรือ การลงทุนในหุ้นอย่างไรบ้าง
– ผลตอบแทนสูงความเสี่ยงต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับการฝากเงินกับธนาคารแล้ว ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในขณะที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ในขณะที่การฝากเงินออมทรัพย์ให้ผลตอบแทนไม่เกิน 0.75% ในปัจจุบันการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่ถือว่าปราศจากความเสี่ยงในเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ให้ผลตอบแทนมากกว่า 3% และหากท่านสามารถยอมรับความเสี่ยงสูงขึ้น ก็สามารถลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทเอกชน ที่จะเสนออัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีลักษณะและอายุใกล้เคียงกัน
– เป็นแหล่งรายได้ประจำ เนื่องจากตราสารหนี้จ่ายดอกเบี้ยเป็นงวดๆแก่ผู้ลงทุน และจะจ่ายคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนดอายุ จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ที่แน่นอนสม่ำเสมอในแต่ละงวด ซึ่งจะต่างจากการลงทุนในหุ้นที่ผลตอบแทนจากเงินปันผลจะไม่แน่นอนขึ้นกับผลประกอบการของบริษัท
– เงินลงทุนมั่นคงปลอดภัย พันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ของรัฐบาลถือเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย เพราะไม่มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ ส่วนการลงทุนในหุ้นกู้หรือตราสารหนี้อื่นๆ นักลงทุนควรพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ Credit rating ของหุ้นกู้ที่ท่านลงทุน อันดับความน่าเชื่อถือที่สูงก็ถือว่ามีความปลอดภัยสูง
– กระจายความเสี่ยง การลงทุนในตราสารหนี้จัดเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของนักลงทุนในเรื่องการกระจายความเสี่ยง เพื่อให้ท่านสามารถกระจายการลงทุนไปในตราสารที่หลากหลายได้
– สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ ข้อดีของการลงทุนในตราสารหนี้ ก็คือสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนมือกันได้ในตลาดรอง โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันครบกำหนดอายุ อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องการซื้อขายอาจแตกต่างกันไปตามปริมาณและประเภทของตราสารหนี้ ในขณะที่การฝากเงินกับธนาคาร จะไม่ได้ประโยชน์ในข้อนี้
เงินลงทุนในตราสารหนี้ คือ (Investment in Debt Securities)
เงินลงทุนในตราสารหนี้ (Investment in Debt Securities) หมายถึง เงินลงทุนที่นำไปซื้อสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ ที่เป็นสัญญาทางการเงินระหว่างผู้ออกตราสารหนี้และผู้ซื้อตราสาร ซึ่งมีกำหนดอายุเวลาและอัตราดอกเบี้ยผลประโยชน์ที่แนดนอนอันได้แก่ พันธบัตร หุ้นกู้ เป็นต้น
ตราสารหนี้ที่ถือจนครบกำหนด คือ (Held to maturity securities)
ตราสารหนี้ที่ถือจนครบกำหนด (Held to maturity securities) หมายถึง เงินลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ที่กิจการถือไว้จนครบกกำหนดไถ่ถอนและได้ดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนจากการลงทุน
ตราสารหนี้เผื่อขาย คือ (Available for sales)
ตราสารหนี้เผื่อขาย (Available for sales) หมายถึง เงินลงทุนในตราสารหนี้ทุกชนิด เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง หุ้นกู้ ซึ่งกิจการถือตราสารหนี้เหล่านี้ไว้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นมิได้มีวัตถุประสงค์หลักที่จะขายหลักทรัพย์เหล่านั้น โดยอาจเก็บไว้เพื่อวัตถุประสงค์เงินลงทุนชั่วคราวหรือระยะยาวก็ได้
องค์ประกอบ ของ ตราสารหนี้
เนื่องจากตราสารหนี้มีอยู่ด้วยกันหลากหลายประเภทดังที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะลงทุนใน ตราสารหนี้ ก็ควรที่จะศึกษาถึงส่วนประกอบและรายละเอียดต่างๆของตราสารหนี้ที่ต้องการจะลงทุนเสียก่อน ส่วนประกอบหลักๆของตราสารหนี้ที่นักลงทุนควรจะต้องทราบเพื่อใช้ในการคำนวณราคา และเพื่อการตัดสินใจลงทุน ได้แก่
- มูลค่าที่ตราไว้ (Par value) คือ มูลค่าเงินต้นที่ผู้ออกจะชำระคืนให้กับผู้ถือตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดไถ่ถอน ตราสารหนี้ส่วนใหญ่จะมี Par value เท่ากับ 1,000 บาทต่อหน่วย
- อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ผู้ออกจะจ่ายให้กับผู้ลงทุนในตราสารหนี้ตามงวดที่กำหนดตลอดอายุของตราสารหนี้นั้น โดยอาจกำหนดเป็นดอกเบี้ยคงที่ หรือ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวเช่น เท่ากับ 8 % ต่อปี หรือ เท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี บวก 1% เป็นต้น
- งวดการจ่ายดอกเบี้ย (Coupon frequency) เป็นการระบุจำนวนครั้งของการจ่ายดอกเบี้ยต่อปี เช่น จ่ายทุก 6 เดือน (2 ครั้งต่อปี) จ่ายทุกไตรมาส (4 ครั้งต่อปี) เป็นต้น ตราสารหนี้ส่วนใหญ่ในตลาดโดยเฉพาะพันธบัตรภาครัฐจะกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน
- วันครบกำหนดไถ่ถอน (Maturity date) คือ วันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้ซึ่งผู้ออกจะต้องจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยงวดสุดท้าย (ถ้ามี) ให้กับผู้ถือ
- ชื่อผู้ออก (Issue name) เป็นการระบุว่าใครเป็นผู้ออกตราสารหนี้นั้น หรือเป็นการระบุชื่อผู้กู้นั่นเอง
- ประเภทของตราสารหนี้ เป็นการระบุประเภทของตราสารหนี้นั้น เช่น หุ้นกู้ไม่มีประกัน หุ้นกู้ด้อยสิทธิ/ไม่ด้อยสิทธิ หุ้นกู้แปลงสภาพ เป็นต้น
- อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit rating) เป็นข้อมูลที่แสดงถึงการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสารหนี้ อันดับความน่าเชื่อถือที่สูงก็ถือว่ามีความปลอดภัยสูง หรือแปลได้ว่า มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับชำระเงินต้นคืน ค่อนข้างต่ำ อันดับความน่าเชื่อถือนี้จะประเมินจากประวัติทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้
- ข้อสัญญา (Covenants) เป็นเงื่อนไขที่ผู้ออกหุ้นกู้จะต้องปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อประโยชน์ของผู้ให้กู้ เช่น กำหนดว่าผู้ออกจะดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (debt to equity ratio) ไม่เกินอัตราที่กำหนด เป็นต้น
รับทำบัญชี
โทร.081-931-8341 (คุณจ๋า)